จ้างที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์อย่างไร… ให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด (และต่างกับที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์อย่างไร)

จ้างที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์อย่างไรให้ได้ผลจริง

การจ้าง ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ หรือ ที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์ ให้ได้ผลจริงนั้น เจ้าของแบรนด์จำเป็นต้องเตรียมตัวเองอย่างไร บทความนี้จะพูดคุยในหลากหลายแง่มุมของขั้นตอนการทำงาน งบประมาณ สถานที่ ทรัพยากรบุคคล รวมไปถึง mindset ในการร่วมงานกับที่ปรึกษา เพื่อให้เจ้าของธุรกิจสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการทำงานได้จริงและหลากหลาย ^^

(สนใจรับคำปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์หรือด้านการตลาดออนไลน์จาก DigiTide สามารถติดต่อเราได้ที่ Line @DigiTide)

โดยปกติแล้ว เจ้าของธุรกิจหรือเจ้าของแบรนด์มักคิดถึงที่ปรึกษาธุรกิจหรือที่ปรึกษาการตลาดใน 2 ช่วงเวลาด้วยกัน ซึ่งได้แก่

ถ้านึกถึงที่ปรึกษาตอนที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ

คำถามที่ ทีมงาน DigiTide มักเจอบ่อย ๆ จากเจ้าของธุรกิจที่กำลังเริ่มต้นก็คือ การขายของออนไลน์ต้องใช้เว็บขายของด้วยไหม เราใช้แต่เฟซบุ๊คแฟนเพจในการขายของออนไลน์ได้ไหม แต่ว่ากลับละเลยสิ่งสำคัญจริง ๆ สำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวิเคราะห์ธุรกิจ การวิเคราะห์ตลาด การวางเป้าหมายเชิงธุรกิจ รวมไปถึงการสร้างแบรนด์ ฯลฯ

ที่ต้องเขียนละเอียดขนาดนี้นั้น เพราะว่าสำหรับ DigiTide แล้ว ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ไม่ได้มีหน้าที่ในส่วนของฝ่ายการตลาดเพียงอย่างเดียว ไม่ได้โฟกัสเพียงแค่การขายสินค้าอย่างเดียว และไม่ได้เพียงแค่มาช่วยแนะวิธีขายของออนไลน์เพียงเรื่องเดียว

เพราะว่าการตลาดที่มีประสิทธิผลจริง ๆ นั้น จะต้องถูกวางให้สอดประสานสนับสนุนกับองค์ประกอบอื่น ๆ ของธุรกิจ ดังนั้นที่ปรึกษานอกจากจะคอยดูแลเรื่องกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ และเทคนิคการตลาดออนไลน์แล้ว ยังรวมถึงการวางแผนธุรกิจไปจนถึงการสร้างแบรนด์ ซึ่งไล่ไปตั้งแต่

  • วิเคราะห์ธุรกิจและตลาดในปัจจุบัน เพื่อค้นหาเป้าหมายในการทำธุรกิจที่ชัดเจน
  • มองภาพรวมของธุรกิจให้ออก เพื่อนำมากำหนด position ของแบรนด์ วางกลยุทธธุรกิจ กลยุทธ์การตลาด กลยุทธ์การขาย ฯลฯ
  • หาช่องทางการตลาดออนไลน์ สื่อออนไลน์ต่าง ๆ
  • วางแผนการตลาดออนไลน์ ซึ่งรวมถึง วางแผนสื่อโฆษณาออนไลน์ (ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็รวมออฟไลน์ไปด้วย แถมจริง ๆ แล้วมันทำรวมกันทั้งออนไลน์ออฟไลน์ไม่แยกจากกัน)
  • วัดผลลัพธ์การตลาดทั้งหมด เพื่อนำมาปรับปรุงกลยุทธ์และการดำเนินงานต่าง ๆ

ดังนั้นถ้าจะจ้างที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจนั้น ทาง DigiTide ขอบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีมาก ๆ แต่เจ้าของแบรนด์เจ้าของธุรกิจพึงใช้ประโยชน์จากที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ให้ได้ครอบคลุมทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแค่จ้างที่ปรึกษามาจัดการในประเด็นเล็ก ๆ เพียงประเด็นเดียว (ซึ่งแม้ว่าจะสบายงบประมาณมากกว่า่ แต่แผนการตลาดออนไลน์ที่ได้อาจไม่สามารถส่งผลกระทบได้อย่างเต็มที่นักเมื่อนำมาผสานกับแผนการตลาดภาพรวมที่แบรนด์ใช้อยู่)

ถ้านึกถึงที่ปรึกษาตอนที่เจอปัญหาหลังจากทำธุรกิจไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว

กรณีนี้มักเกิดขึ้นเมื่อเจ้าของธุรกิจทำเองไปได้ระดับหนึ่งแต่เกิดการชะงักงันเพราะเจอปัญหา พวกเขามักไปเข้าคอร์สอบรมการตลาด คอร์สบริหารธุรกิจ คอร์สกลยุทธ์และเทคนิคการตลาดออนไลน์มากมาย แต่กลับไม่สามารถระบุปัญหาและหาวิธีแก้ปัญหาธุรกิจไม่ได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นเพราะเกิดการเรียนรู้ที่หลากหลายแต่ไม่ลึกซึ้งเพียงพอ ขาดความเข้าใจเพียงพอที่จะนำความรู้ที่หลากหลายมาเชื่อมต่อกันและใช้งานจริงได้

ดังนั้น DigiTide จึงขอแนะนำให้เจ้าของธุรกิจจ้างที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์เพียงพอที่จะวิเคราะห์ปัญหาธุรกิจ เพื่อที่จะนำมาสร้างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่สามารถแก้ไขปัญหาธุรกิจที่มีอยู่ได้ (ซึ่งจะมีปัจจัยและข้อจำกัดหลายอย่าง ตั้งแต่เรื่องงบประมาณ ทรัพยากรบุคคล สถานการณ์การตลาดในปัจจุบัน เป็นต้น) ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการศึกษารายละเอียดพอสมควรก่อนที่จะสามารถให้คำแนะนำที่ได้ผลจริง

สิ่งสำคัญที่ต้องจำก็คือ หลายครั้งที่การแก้ไขปัญหาหนึ่ง ๆ นั้นใช้เรื่องการตลาดอย่างเดียวไม่ได้ อาจต้องใช้ตั้งแต่เทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ กลยุทธ์ทางออฟไลน์ ขั้นตอนการดำเนินงาน อาจไปจนถึงการปรับรูปแบบการบริหาร หรือโครงสร้างธุรกิจหรือองค์กรเลยทีเดียว ดังนั้นเจ้าของแบรนด์จึงควรให้อำนาจและขอบเขตการรับผิดชอบที่มากพอกับที่ปรึกษาด้วย (รวมทั้งทำตามคำแนะนำในประเด็นอื่น ๆ ด้วย)

นอกจากนั้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจหลายท่านมักเป็นกันก็คือ

เข้าใจผิดว่าที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์มาช่วยทำโฆษณาเฟสบุ๊คหรือสร้างโฆษณาออนไลน์ให้เราเท่านั้น หรือไม่ก็แค่มาช่วยประชาสัมพันธ์ธุรกิจเฉย ๆ โดยไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับโครงสร้างอื่น ๆ ซึ่งจัดเป็นความเข้าใจผิดมาก ๆ เลย

เมื่อเข้าใจถึงลักษณะการขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาในแต่ละช่วงเวลาแล้ว ทาง DigiTide จึงขออธิบายรายละเอียดในหลากหลายประเด็นให้เจ้าของธุรกิจ/เจ้าของแบรนด์รับรู้ไว้เกี่ยวกับการจ้างที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ เพื่อที่จะได้สามารถทำงานร่วมกันออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด 🙂

ขั้นตอนการทำงานเมื่อจ้างที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ (และที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์)

ที่ปรึกษาแต่ละรายต่างมีเงื่อนไขและขอบเขตหน้าที่การทำงานที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนที่จะจ้างที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์/ด้านการสร้างแบรนด์ เจ้าของธุรกิจพึงตั้งโจทย์ให้ชัดเจนว่าต้องการให้ที่ปรึกษาสร้างผลลัพธ์อะไรบ้าง มีขอบเขตจำกัดอยู่แค่ไหนบ้าง (ซึ่งจำเป็นต้องตกลงร่วมกันระหว่างที่ปรึกษากับเจ้าของธุรกิจนะครับ

มีอยู่หลายครั้งที่ DigiTide จำเป็นต้องขอขอบเขตและอำนาจการดำเนินงานนอกเหนือไปจากสื่อออนไลน์เพียงอย่างเดียวในการให้คำปรึกษา ยกตัวอย่างเช่น การทำตลาดออนไลน์กับระบบตัวแทน เราก็จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในการวางโครงสร้างราคาผลิตภัณฑ์ด้วย)

หลังจากนั้นแล้ว ขั้นตอนต่าง ๆ ก็จะเป็นไปตามนี้ (แต่ก็อาจมีน้อยกว่านี้ หรือมากกว่านี้ แล้วแต่เคสไป)

  1. เจ้าของธุรกิจบอกรายละเอียดเกี่ยวกับธุรกิจของตนให้ที่ปรึกษาทราบ
    • โดยจะลงรายละเอียดลึกขนาดไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับขอบเขตหน้าที่ของที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์รายนั้น
  2. ที่ปรึกษาประเมินสถานการณ์ในปัจจุบัน
    • ตรงนี้เจ้าของธุรกิจต้องให้ที่ปรึกษาสามารถ access ข้อมูลเชิงลึกของสื่อออนไลน์ที่มีอยู่แล้ว เพื่อนำมาประกอบการวิเคราะห์ ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์ของที่ปรึกษาเอง ผสมกับ insight บางส่วนจากเจ้าของธุรกิจด้วย
  3. ที่ปรึกษากำหนดแนวทางในการทำงาน
    • โดยบางรายอาจให้เป็นคำแนะนำระยะยาวแบบ Manual ประจำปีไปเลย แต่บางรายอาจกำหนดแนวทางการทำงานเป็นแคมเปญระยะสั้น โดยทั้ง 2 แบบมีข้อดีข้อเสียต่างกันดังนี้
      • การวางแผนระยะยาว — ทำให้ได้แผนการทำงานชัดเจนตั้งแต่ต้น จากนั้นก็แค่ทำไปตามแผน ข้อดีคือจ้างทีเดียวจบ แต่ข้อเสียคือขาดความยืดหยุ่น ทำให้รับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปได้ยาก จึงเหมาะกับเจ้าของธุรกิจที่มีทักษะเพียงพอในการรับมือสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยตัวเอง
      • การวางแผนระยะสั้น — ได้แผนการทำงานที่ทำได้เลยทันที เห็นผลได้ทันทีเช่นกัน ข้อดีคือสามารถปรับตัวรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปได้ดี แต่ว่าก็จำเป็นต้องมีการวัดผลที่ชัดเจนและแม่นยำเช่นกัน ซึ่งถ้าขาดประสบการณ์หรือไม่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ธุรกิจอาจหลงทางได้ง่าย ๆ
    • หมายเหตุ — โดยมากแล้ว DigiTide ใช้การทำงานแบบผสมผสาน ซึ่งก็คือจะวาดภาพรวมให้ทางเจ้าของธุรกิจเห็นเป้าหมายระยะยาว แต่จะกำหนดแนวทางการทำงานแบบระยะสั้น ซึ่งพอเสร็จงานแรก ก็จะวัดผล ประเมินสถานการณ์ และวางแผนการดำเนินงานระยะสั้นอันถัดไป ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งแบบนี้จะดีที่เจ้าของธุรกิจจะเห็นภาพเป้าหมายได้ชัด (จะได้ตกลงกันก่อนว่าโอเคไหม) และมีที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำจากแผนแรกสู่แผนสอง สาม และแผนถัด ๆ ไป
  4. ดำเนินงานตามแผนที่วางไว้
    • บางกรณีเจ้าของธุรกิจอาจขอให้ที่ปรึกษารับงานบางส่วนออกไปทำนอกบริษัท หรือว่าที่เรียกว่า outsource นั่นเอง ซึ่งถ้าที่ปรึกษามีทีมงานอยู่แล้วก็อาจจะรับงานบางส่วนมาได้
    • งานส่วนที่ outsource ออกไปทำนั้น จำเป็นต้องพิจารณาให้ดี เพราะบางอย่างอาจมีข้อเสียด้วย
      • ถ้าเป็นงานที่ต้องทำเป็นประจำอยู่แล้ว — ถ้าเป็นงาน routine จะ outsource ก็เหมาะสมแล้ว เช่น งานเอกสาร เป็นต้น
      • ถ้าเป็นงานที่ต้องทำเป็นประจำ แต่จำเป็นต้องมีการติดต่อกับลูกค้า — จะ outsource ก็ได้ แต่จำเป็นต้องวางรูปแบบการติดต่อให้ดี เช่น กำหนดคำตอบสำหรับคำถามที่ถูกลูกค้าถามบ่อย กำหนดระยะเวลาในการตอบคำถามลูกค้าว่าห้ามเกินเท่าไหร่ เป็นต้น
      • ถ้าเป็นงานเกี่ยวกับ content — จำเป็นต้องวางแบรนด์ให้ชัดเจน ทั้งในเรื่องของโทน ภาพลักษณ์ รูปแบบการพูดคุย ฯลฯ เพื่อไม่ให้ content ทำให้ภาพของแบรนด์เป๋ไปจากสิ่งที่ต้องการ (หลายบริษัทหลายแบรนด์มัก outsource คนทำ content แล้วภาพลักษณ์บิดเบี้ยวมาก ๆ จึงพึงระวังให้ดี)
      • งานอื่น ๆ — อาศัยการพิจารณาร่วมกันระหว่างที่ปรึกษากับเจ้าของบริษัท
    • ส่วนใหญ่แล้ว ทีมงาน DigiTide จะแนะนำให้ทางเจ้าของธุรกิจหาทีมงานมาทำงานส่วนต่าง ๆ เอง เนื่องจากบริษัทจะได้สามารถดำเนินงานเองต่อไปได้ด้วยตัวเองแม้หลังจากจบงานที่ปรึกษาแล้ว อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้จำเป็นต้องมีการเทรนนิ่งและอธิบายภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้กับทีมงานเป็นประจำและสม่ำเสมอ จึงเป็นงานที่ต้องใช้เวลาและรายละเอียดมากพอสมควร
    • เจ้าของแบรนด์ต้องส่งการบ้าน <– ข้อนี้ DigiTide เจอมาบ้างแล้ว และเป็นปัญหาหนักมาก เลยขอแทรกไว้เพื่อบอกว่า การให้คำปรึกษาเฉย ๆ แต่เจ้าของแบรนด์ไม่ทำตามคำแนะนำ หรือทำแค่ 50% นั้น ก็จะไม่สามารถได้ผลลัพธ์ตามต้องการได้นะครับ ^^
  5. วัดผลการดำเนินงาน
    • การวัดผลจัดเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ สำหรับการทำตลาดออนไลน์ นอกจากการวัดผลจะเป็นจุดแข็งอย่างมากของการตลาดออนไลน์เมื่อเทียบกับออฟไลน์แล้ว มันยังเป็นแนวทางการทำงานที่เหมาะสมกับพฤติกรรมลูกค้าและสังคมในปัจจุบันด้วย
    • เครื่องมือที่ช่วยเหลือในการวัดผลการตลาดออนไลน์มีหลากหลายมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่สำคัญและควรมีอยู่ก็ได้แก่ (ที่ List ไว้ข้างล่างนี้ บางอันไม่ได้ใช้วัดผลโดยตรง แต่ช่วยให้การวัดผลง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพขึ้น)
      • Google Analytics
      • Google Search Console
      • Google Tag Manager
      • Facebook Pixel (ตัวนี้จะอ้อมมาก ๆ ^_^)
  6. ปรับแผนการทำงาน
    • เมื่อวัดผลได้ชัดเจน และมีเป้าหมายชัดเจน เราก็จะทราบว่าเราอยู่ไกลจากเป้าหมายเท่าใด เรากำลังเดินทางถูกทิศทางหรือไม่ ซึ่งก็จะทำให้สามารถปรับเปลี่ยนแผนการทำงานได้ดียิ่งขึ้นไปด้วย
    • การอ่านผลการดำเนินงานในข้อ 5 นั้นมีความสำคัญต่อช่วงนี้เป็นอย่างมาก เจ้าของธุรกิจและที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ควรวิเคราะห์ผลลัพธ์ร่วมกัน และช่วยกันวางแผนขั้นต่อไปด้วยกัน
    • เมื่อปรับเปลี่ยนแผนการทำงานแล้ว ที่ปรึกษาควรจะบอกสาเหตุของการปรับเปลี่ยน และระบุเป้าหมายของแผนงานใหม่ตัวนี้ให้ชัดเจน ซึ่ง่เจ้าของธุรกิจก็ควรเข้าใจในเหตุผลทั้งหมดในการปรับเปลี่ยนนี้ด้วย (เพื่อที่ต่อไปจะได้สามารถทำเองได้)

หาที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์อย่างไรดี

ต่างกับที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์อย่างไร

รับงานวิทยากรการตลาดออนไลน์ด้วยไหม

นี่เป็นคำถามที่พบเจอบ่อยมาก ๆ และตอบได้ยากมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากที่ปรึกษาแต่ละรายมีพื้นฐานและทักษะที่ต่างกัน นอกจากนี้แล้ว คำว่าสร้างแบรนด์ยังถูกแปลความหมายแตกต่างกันออกไปด้วย (แล้วแต่เจ้าของธุรกิจกับที่ปรึกษา) ดังนั้นเราจะขอตอบในมุมมองและประสบการณ์ของเราเองนะครับ

  1. DigTide เป็นทั้งที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์และที่ปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์ โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะวางแผนด้านการสร้างแบรนด์ด้วยการใช้ Content Marketing เป็นหลักอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เรายังรับให้คำปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์กับบริษัท B2B ด้วย SEO Content อีกด้วย / สำหรับบริษัทอื่น ๆ นั้น บางรายจะรับเฉพาะการตลาดออนไลน์โดยจะเน้นการโฆษณาเป็นหลักเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่ใช่แนวทางของเรา
  2. การสร้างแบรนด์ออนไลน์นั้น แม้ว่าจะใช้เทคนิคพื้นฐานเดียวกับการตลาดออนไลน์ แต่จะเน้นทางด้านการใช้ content เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์และเพื่อให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายจดจำแบรนด์ได้ เพื่อจะนำไปสู่ยอดขายได้ในท้ายที่สุด อย่างไรก็ตาม มีการทำตลาดออนไลน์ด้วยการใช้โฆษณาอย่างเดียวและสามารถสร้างยอดขายได้เช่นกัน ดังนั้นเจ้าของแบรนด์พึงศึกษาธุรกิจตัวเองให้รอบคอบก่อนที่จะติดต่อที่ปรึกษาให้เข้าไปทำงาน
  3. DigiTide รับงานบรรยายด้านการตลาดออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วที่ปรึกษาธุรกิจทั้งหลายก็มักจะรับงานวิทยากรอยู่ด้วย และหลายธูรกิจก็ใช้วิธีการจ้างที่ปรึกษาหลังจากที่เข้าคอร์สไปฟังการบรรยายเช่นกัน
  4. สำหรับผู้ที่สนใจรับคำปรึกษาด้านการสร้างแบรนด์หรือด้านการตลาดออนไลน์จาก DigiTide สามารถติดต่อเราได้ที่ Line @DigiTide

หมายเหตุสำคัญ

  • ไม่ว่าจะมีการวางแผนใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแผนเริ่มต้น แผนระยะยาว ระยะสั้น หรือแผนใหม่ที่เพิ่งถูกปรับเปลี่ยน ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ควรระบุสาเหตุของการใช้แผนนั้น และบอกเป้าหมายที่ต้องการได้จากแผนการนั้นด้วย — ถ้าไม่บอก เจ้าของธุรกิจก็ต้องถาม และพึงสงสัยตลอดเวลา
  • การระบุเหตุผลของการตัดสินใจใด ๆ จะช่วยให้ผู้ดำเนินการสามารถนำหลักการนี้ไปใช้กับการตัดสินใจในสถานการณ์อื่น ๆ ได้ ซึ่งจะดีต่อบริษัทในระยะยาว
  • การบอกเป้าหมายของการดำเนินงานใด ๆ จะช่วยให้ผู้ดำเนินการสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองตามสถานการณ์ได้ ตราบใดที่ยังสอดคล้องกับวัตถุประสงค์นั้น ๆ ซึ่งจะทำให้การทำงานมีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้เองอย่างเหมาะสม
  • สำหรับบางธุรกิจนั้น โดยเฉพาะธุรกิจเดิม ๆ ที่กำลังถูก disruption นั้น บางครั้งจำเป็นจะต้องเปลี่ยน business model เสียก่อน เราแนะนำให้ลองอ่านบทความเรื่อง การเขียนแผนธุรกิจด้วยการสร้างโมเดลธุรกิจที่แตกต่าง ดูก่อนนะครับ

นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังมีประเด็นอื่น ๆ อย่างเช่น งบประมาณในการทำตลาดออนไลน์ สถานที่ในการให้คำปรึกษา ทรัพยากรบุคคลที่มาช่วยงานการตลาดออนไลน์ ตลอดไปจนถึง Mindset ของเจ้าของธุรกิจ เจ้าของแบรนด์ รวมถึงผู้บริหารทั้งหลาย ที่จะทำงานร่วมกันที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์อีกด้วย

ซึ่ง DigiTide ขอเอาไว้เขียนถึงในคราวหน้านะครับ 🙂