กลยุทธ์การตลาด B2B ในปัจจุบันนี้ สามารถใช้เทคนิค Content Marketing ของการตลาดออนไลน์เพื่อดึงดูดลูุกค้าองค์กรให้เข้ามาหาตัวเองได้แล้ว ธุรกิจ B2B จึงสามารถหารายชื่อลูกค้าใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์ได้เรื่อย ๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากิจกรรมทางการตลาดภายนอกอย่างมากเหมือนเมื่อก่อน อย่างไรก็ตาม การทำ Content Marketing ไม่ใช่แค่เป็นการสร้าง Content ออกไปเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ทั้งในเชิงธุรกิจ ตลาด และสื่อออนไลน์ที่จำเป็น เพื่อนำมารวมกันเป็นแผนการตลาด B2B ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพจริง
บทความนี้เหมาะสำหรับ
เจ้าของกิจการที่มีกลุ่มลูกค้าเป็นองค์กร อาจเป็นกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ลูกค้าโรงงาน หรือลูกค้าอุตสาหกรรม หรือที่เรียกกันว่าธุรกิจแบบ B2B (Business to Business) ซึ่ง่ต่างกับธุรกิจ B2C (Business to Consumer) ซึ่งเน้นการขายปลีกสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคทั่วไปเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์การให้คำปรึกษาของ DigiTide พบว่าหลายบริษัทก็ทำธุรกิจกับทั้งองค์กรและผู้บริโภคทั่วไป คือเป็นทั้ง B2B และ B2C – ดังนั้นจึงสมควรอ่านบทความนี้เช่นกัน
ตัวอย่างของบริษัทที่ทำธุรกิจแบบ B2B
เป็นได้ตั้งแต่ธุรกิจขายส่ง โรงงานรับผลิตสินค้า ธุรกิจขาย/ให้เช่าอาคารสำนักงาน ธุรกิจขายสินค้าชิ้นใหญ่ให้กับองค์กร (หรือซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร) ไปจนถึงธุรกิจบริการอย่างเอเจนซี่โฆษณา บริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ ที่ปรึกษากฎหมาย เป็นต้น ซึ่งบริษัท B2B ทุกเจ้านั้นต่างก็มี transaction จำนวนน้อยแต่มีมูลค่าสูงด้วยกันทั้งสิ้น และเพราะสาเหตุนี้เอง บทความนี้จึงสามารถนำไปใช้กับธุรกิจ B2C ที่ขายสินค้าหรือบริการมูลค่าสูงได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจจัดอบรมสัมมนา เป็นต้น (ดังนั้นเอง DigiTide จึงจัดเป็นธุรกิจ B2B เช่นกัน — ดังรูปข้างล่างที่แสดงถึงการที่เราใช้ Content Marketing เป็นกลยุทธ์หลักในการดึงดูดลูกค้าองค์กร และมีการเก็บรายชื่อลูกค้าใหม่ตั้งแต่ในหน้าแรกของเว็บไซต์)
ธรรมชาติของธุรกิจแบบ B2B และ ความเกี่ยวข้องกับ Content
ธุรกิจ B2B มีความแตกต่างกับธุรกิจ B2C ก็ตรงที่ ธุรกิจ B2B มีกระบวนการหรือขั้นตอนในการซื้อ (buying process) ที่กินระยะเวลานานกว่ามาก – เนื่องจากผลิตภัณฑ์หรือบริการมีราคาสูง ผู้ซื้อจึงต้องรวบรวมข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ รวมถึงปัจจัยความน่าเชื่อถือจากผู้ขาย เพื่อนำมาใช้พิจารณาก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ โดยข้อมูลเหล่านี้จะมีความละเอียดลึกซึ้งในระดับใดนั้น ก็จะขึ้นอยู่กับว่าผู้ซื้อหรือลูกค้ารายนั้นกำลังสนใจสินค้าหรือบริการอยู่ในระดับใด ยกตัวอย่างเช่น
- ลูกค้ายังไม่ได้ต้องการใช้สินค้าหรือบริการ => เหมาะกับ content ที่เพิ่ม brand awareness (การรับรู้แบรนด์)
- ลูกค้าเริ่มสนใจในสินค้าหรือบริการ => เหมาะกับ content ที่ให้รายละเอียดของสินค้าหรือบริการ
- ลูกค้ากำลังตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ => เหมาะกับ content ที่เพิ่มความน่าเชื่อถือ เช่น testimonial จากลูกค้าเก่า
(หมายเหตุ: นี่เป็นแค่ตัวอย่างการใช้ content อย่างคร่าว ๆ เท่านั้น จริง ๆ แล้วยังมีความหลากหลายได้มากกว่านี้)
ด้วยสาเหตุทั้งหมดนี้เอง นักการตลาด B2B จึงต้องเตรียมเนื้อหา หรือ Content ให้สอดคล้องกับแต่ละขั้นตอนในการขาย กับแต่ละระดับความสนใจของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถ…
- ได้รับข้อมูลที่เหมาะสมกับความต้องการ (นั่นคือ – ไม่น้อยไปหรือมากไป – แล้วแต่ว่าเขาสนใจในระดับไหน)
- ในเวลาที่เหมาะสม (นั่นคือ – ไม่กระชั้นจนน่าอึดอัด แต่ไม่ช้าไปจนขาดความน่าเชื่อถือ – เช่นเดิมที่แล้วแต่ระดับความสนใจของเขา)
- ในสถานที่ที่เหมาะสมกับพฤติกรรมของเขา (นั่นคือ – ในแพลทฟอร์มที่เขาสะดวกในการใช้งาน เช่น อีเมล์ อินบ็อกซ์ โทรศัพท์ หรือแม้กระทั่งโบรชัวร์)
การทำตลาด B2B ด้วย Content Marketing
โดยทั่วไปแล้ว แผนธุรกิจและแผนการตลาดของธุรกิจ B2B มักจะเน้นการหารายชื่อลูกค้าเพื่อนำไปสู่การติดต่อเข้าไปขอนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการ รวมถึงการซื้อโฆษณา – ทั้งในสื่อหลักและสื่อออนไลน์ – เพื่อเรียกลูกค้าให้เข้ามาติดต่อขอรายละเอียด จากนั้นทาง Sales จึงสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการให้กับลูกค้าต่อไป ดังนั้นเราจึงสามารถแบ่งการทำตลาด B2B ได้ออกเป็น 2 ช่วงใหญ่ ๆ ซึ่งได้แก่ ช่วงการสร้างรายชื่อลูกค้า (Lead Generation) กับช่วงการติดต่อและดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่องไปจนเกิดการซื้อขายขึ้น (ช่วงนี้มักใช้ระบบ Customer Relationship Management เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้เกิด Sales ในที่สุด)
การใช้ Content Marketing จัดเป็นหนึ่งในเทคนิคการทำตลาด B2B ที่ได้รับความสนใจที่สุดในยุคสื่อออนไลน์ เนื่องจาก content ในสื่อออนไลน์และยังโดนใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายนั้น จะสามารถ…
ถูกค้นพบได้ผ่านช่องทางเว็บสืบค้นอย่างกูเกิ้ล
ถูกกระจายต่อได้ผ่านช่องทางสื่อโซเชียลอย่างเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ยูทูบ หรือช่องทางอื่น ๆ
ใช้ระบุระดับความสนใจของลูกค้า – รวมถึงประเด็นที่กำลังสนใจ – ได้โดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าที่มาอ่านบทความอาจแค่เริ่มรู้จักแบรนด์ของเรา ลูกค้าที่ดาวโหลดอีบุ๊คไปอาจกำลังสนใจในบริการของเรา (เฉพาะเรื่องนั้น ๆ) ลูกค้าที่มาดูข้อมูลแพ็คเกจของเราก็กำลังตัดสินใจซื้อ เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้น!! เมื่อระดับความสนใจของลูกค้าถูกระบุได้ชัดเจนระดับหนึ่งแล้ว ธุรกิจ B2B ยังสามารถส่ง content ต่อเนื่องเป็นชุด ๆ ไปยังลูกค้ากลุ่มนั้น ๆ ได้ด้วย โดยอาจส่งเป็นเรื่องราวของแบรนด์ หรือเป็นเนื้อหาเชิงเทคนิค how to หรือ success story ต่าง ๆ (แล้วแต่ประเภทของธุรกิจนั้น ๆ) จากนั้นจึงสามารถตามด้วย content ที่กระตุ้นให้เกิดการขายได้ในที่สุด (หรือในบางกรณีก็จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงรายชื่อ เพื่อนำไปสู่กระบวนการขายผ่าน sales ต่อไป)
ทำไมธุรกิจ B2B จึงควรทำการตลาดออนไลน์ด้วยการใช้ Content
ในอดีตนั้น ธุรกิจ B2B หลายรายมักใช้การเข้าถึงผู้บริหารหรือฝ่ายจัดซื้อของลูกค้าองค์กร (โดยอาจผ่าน sales หรือผ่านการแนะนำต่อกันไป) เป็นกลยุทธ์หลักในการทำตลาด บางรายเน้นการใช้คอนเน็กชั่นเพื่อเข้าถึงและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง จากนั้นจึงพึ่งคุณภาพของสินค้าหรือบริการเพื่อให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก หรือพูดง่าย ๆ คือพึ่งพากลยุทธ์การขายทางตรงเป็นหลัก ทำให้กินเวลานานในการขยายธุรกิจ (slow and one-to-one referral)
โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลนี้ การตลาดแบบปากต่อปากผ่านสื่อออนไลน์นั้น สามารถเกิดขึ้นได้เร็วกว่า (faster) บ่อยกว่า (more frequently) และกระจายออกไปในวงกว้างกว่าด้วย (one-to-many referral)
นอกจากสาเหตุที่ชัดเจนข้อนี้แล้ว การทำตลาดออนไลน์ด้วย Content ยังมีประโยชน์กับธุรกิจ B2B ดังต่อไปนี้
เป็นกลยุทธ์การดึงดูดลูกค้าที่ใช่ โดยแทบไม่ต้องประชาสัมพันธ์
Content ในเว็บไซต์ จะถูกลูกค้าพบเจอด้วยการค้นหาผ่านกูเกิ้ล (ซึ่งจะเป็นลูกค้าที่รู้จักหรือต้องการสินค้า/บริการนั้น ๆ อยู่แล้ว) ที่สำคัญคือการค้นพบเว็บไซต์นี้จะเกิดขึ้นได้เรื่อย ๆ โดยธรรมชาติ – ยิ่งไปกว่านั้น การที่เราติดอันดับแรก ๆ ของการค้นหาผ่านกูเกิ้ลนั้นก็ยังเป็นการตัดโอกาสคู่แข่งรายอื่นไปโดยปริยาย
เพิ่มความเร็วในบอกต่อแบบปากต่อปาก
Content ในสื่อโซเชียลนั้นพร้อมถูกแชร์ไปภายนอกได้อย่างสะดวก ทำให้เกิดการบอกต่อได้รวดเร็วขึ้น (อย่างเป็นธรรมชาติด้วย) และถ้า Content นั้นโดนใจกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ แล้ว ก็อาจสามารถสร้างกระแสในโลกออนไลน์ได้อีกด้วย (จะใช้งบประมาณประชาสัมพันธ์มากหรือน้อยนั้น ก็แล้วแต่ว่า Content โดนใจขนาดไหน)
เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์
Content ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นเนื้อหาเชิง how to หรือเทคนิคต่าง ๆ ก็จะสร้างภาพลักษณ์การเป็นผู้เชี่ยวชาญให้กับแบรนด์ได้ ในขณะที่เนื้อหาเชิงกรณีศึกษาก็จะตอกย้ำความน่าเชื่อถือให้เพิ่มมากขึ้นด้วย โดยความสม่ำเสมอในการออก content ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ในการทำ Content ที่แสดงแนวคิด แบรนด์/ธุรกิจก็สามารถสร้างภาพลักษณ์ตัวเองให้เป็น thought leadership ได้เช่นกัน
สามารถวางระบบให้สร้างรายชื่อลูกค้าใหม่ (lead generation) ได้อย่างต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ
ในขณะที่การทำ SEO (ทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับการค้นหาของกูเกิ้ล) จะช่วยให้มีผู้เข้าชมรายใหม่เข้ามายังเว็บไซต์ธุรกิจ B2B อยู่เรื่อย ๆ เรายังสามารถวางกลไกที่จะส่ง content ต่อเนื่อง ไปยังผู้เข้าชมเว็บไซต์แต่ละรายโดยอัตโนมัติผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
ผู้เข้าชมบทความในเว็บไซต์ ==> มีหน้าต่างป๊อปอัพให้ดาวน์โหลด “อีบุ๊ค” หรือ “เอกสารทางเทคนิค” ไปอ่าน
ผู้ที่ดาวน์โหลดเอกสารและกรอกข้อมูลอีเมล์ไว้ ==> มีอีเมล์ถูกส่งไปพูดคุยและให้ความรู้อย่างสม่ำเสมอ
ผู้ที่ไม่ได้ดาวน์โหลดเอกสาร ==> ได้รับโฆษณาในเฟซบุ๊คเป็นชุด ๆ เช่น เห็นโฆษณา A แล้วตามด้วย B, C, …, Z ตามลำดับ
(หมายเหตุ: นี่เป็นการยกตัวอย่างคร่าว ๆ เท่านั้น การทำ Content Marketing จริง ๆ แล้วจะมีรายละเอียดซับซ้อนกว่านี้)รายชื่อลูกค้า หรือ Lead ที่ได้มานั้น จะเป็นกลุ่มคนที่พร้อมซื้อมากกว่าปกติ
เนื่องด้วยลูกค้าแต่ละกลุ่มเป้ายหมาย จะได้เห็น content ที่พวกเขากำลังสนใจ ส่งตรงมาจากธุรกิจ B2B รายหนึ่ง ๆ อย่างสม่ำเสมอมาสักช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว จึงทำให้ลูกค้ารู้จักคุ้นเคยกับแบรนด์และธุรกิจอยู่ในระดับหนึ่ง ช่วยย่นระยะเวลาในการติดตามผลของ sales ต่อจากนี้ ส่งผลให้มีโอกาสปิดการขายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
(หมายเหตุ: lead ที่ยังไม่คุ้นเคยกับ content ของแบรนด์ ก็จะถูกมองว่าเป็น cold lead ในขณะที่ warm lead คือกลุ่มลูกค้าที่ถูกสร้างความคุ้นเคยกับแบรนด์ผ่าน content มาสักระยะหนึ่งแล้ว – ส่วนลุกค้าที่เป็น hot lead จะเป็นกลุ่มที่คุ้นเคยกับแบรนด์มาก ๆ และก็พร้อมในการซื้อสินค้า/บริการทันที)
การวางแผนการตลาด B2B ด้วย Content Marketing
วิเคราะห์ธุรกิจ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และคู่แข่งทางธุรกิจ
ทุกการวางแผนควรเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ โดยในเคสของธุรกิจ B2B นี้ เราต้องวิเคราะห์ว่าทางคู่แข่งธุรกิจของเรานั้นได้ทำ Content Marketing ไปในระดับใดบ้างแล้ว (ซึ่งในประเด็นนี้จะคาบเกี่ยวกับการวิเคราะห์คีย์เวิร์ดและ content ในหัวข้อถัดไป) โดยในกรณีที่คู่แข่งมีการทำ content ไปมากแล้ว เจ้าของธุรกิจ B2B อาจต้องหาจุดโฟกัสที่จะมาสู้ ยกตัวอย่างเช่น อาจเริ่มเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายขนาดเล็กที่คู่แข่งยังไม่มีฐานลูกค้าที่แข็งแรงนัก หรือเริ่มลุย content ในโซนที่คู่แข่งยังไม่ได้โฟกัสมากนัก เป็นต้น
การวิเคราะห์ลูกค้าก็จัดว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าธุรกิจ B2B พึงเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าองค์กรในยุคนี้ ว่ามีการใช้สื่อออนไลน์เป็นหลักในการค้นหาสินค้าหรือบริการเพื่อมาตอบสนองความต้องการ (ยกตัวอย่างเช่น เวลาเจ้าของรีสอร์ทอยากตกแต่งพื้นที่ภายใน ก็อาจค้นหาโรงงานโคมไฟ หรือบริษัทออกแบบภายใน เป็นต้น) ดังนั้นถ้ารู้จักลูกค้ากลุ่มเป้าหมายดีพอ ก็จะรู้โดยอัตโนมัติเองว่าเขาจะหาเราได้อย่างไร
วิเคราะห์คีย์เวิร์ด (keyword) และ Content ที่ลูกค้าสนใจ
ในเมื่อวิเคราะห์จนรู้จักลูกค้าและคู่แข่งพอแล้ว ธุรกิจ B2B ก็สามารถทำ Content เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงประเด็น โดยในกรณีที่ลูกค้าจะค้นหาธุรกิจ B2B ผ่านกูเกิ้ล การวิเคราะห์ว่าลูกค้าจะค้นด้วยคำค้นหา (หรือคีย์เวิร์ด) ว่าอะไรก็จะช่วยให้ธุรกิจ B2B วางแผน content ในช่วงถัดไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดก็ไม่ใช่ว่าจะค้นแต่คำค้นหายอดนิยมเป็นหลัก แต่ยังต้องวิเคราะห์ในเชิงลึกไปถึงพฤติกรรมของลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น คีย์เวิร์ดไหนที่ลูกค้าตัวจริงจะค้น คีย์เวิร์ดไหนที่บ่งบอกว่าลูกค้ามีความต้องการจะซื้อ คีย์เวิร์ดใดที่ลูกค้าค้นเพียงเพราะแค่อยากศึกษาค้นคว้า คีย์เวิร์ดใดที่ควรใส่เพิ่มเข้าไปใน content เพื่อเสริมน้ำหนักให้คีย์เวิร์ดหลัก ฯลฯ
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีแนวโน้มที่จะชอบ content ในสื่อออนไลน์อื่น ๆ ที่ไม่ใช้ตัวอักษรเป็นหลัก ทางธุรกิจ B2B ก็พึงวางแผน content ให้อยู่ในรูปแบบอื่นโดยอาศัยคีย์เวิร์ดที่ผ่านวิเคราะห์มาตอนแรกนั้น (ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าอาจค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด แต่เวลาเสพ content นั้นอาจต้องการรูปแบบวิดีโอ ในกรณีนี้เราควรวางแผน content ใน YouTube โดยอาศัยคีย์เวิร์ดที่วิเคราะห์มา)
วางแผนการสร้าง Content สำหรับเป้าหมายธุรกิจแต่ละแบบ
มาถึงขั้นตอนนี้ การสร้าง content นั้นจะไม่ยากมากนักแล้ว แต่นักธุรกิจ B2B พึงทำความเข้าใจว่า content ในการทำตลาดออนไลน์นั้นไม่ได้หมายถึง content เพื่อการขายเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องมี content สำหรับสร้าง awareness ให้คนรู้จัก / content อธิบายสินค้าและบริการแบบละเอียด เพื่อให้ลูกค้าได้ศึกษาเพิ่มเติม / content โปรโมชั่นหรือรีวิว เพื่อกระตุ้นให้เกิดการขาย
ในส่วนของธุรกิจ B2B นั้น เนื่องจากลูกค้าจะใช้เวลานานในการตัดสินใจ จึงจำเป็นต้องวางแผน content สร้างความสนใจเพื่อดึงลูกค้าเข้ามาอยู่ในลิสต์รายชื่อของเราเสียก่อน (Lead Generation หรือบางธุรกิจจะเรียกว่า List Building) จากนั้นจึงวางแผน content ระยะยาวเพื่อสร้างความสัมพันธ์และความน่าเชื่อถือส่งไปยังกลุ่มลูกค้าในลิสต์นั้น ๆ (Lead Nurturing) เพื่อนำไปสู่การขายในที่สุด
รายละเอียดในส่วน Content Marketing นั้น มีสิ่งที่นักธุรกิจพึงเรียนรู้มากมาย ไว้ทางเราจะเขียนเรื่อง Content Marketing มาเล่าให้ฟังเพิ่มเติมในคราต่อไหม (หรือเราอาจจะเปิดคอร์ส Content Marketing for B2B ในอนาคต)
วางแผนการสร้างเว็บไซต์ (Website Content) และสื่อโซเชียล (Social Media Content)
เมื่อวางแผน content ในช่วงก่อนหน้านั้นเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนนี้ก็จะมีความยุ่งยากน้อยลง เพียงแต่ว่าต้องวางแผนโครงสร้างของเว็บไซต์ไว้ให้ดี ว่าผู้ใช้จะเข้ามาดูใน content ใด แล้วนำไปสู่การขายได้อย่างไร (อย่าลืมว่าธุรกิจ B2B ส่วนใหญ่แล้วจะไม่สามารถปิดการขายได้ในครั้งแรกที่ลูกค้าเข้ามาชมเว็บไซต์ ดังนั้นจึงต้องมีการนำลูกค้าไปสู่ขั้นตอนการฝาก contact หรือการทำ action อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อที่ธุรกิจของเราจะได้สามารถส่ง content ติดตามลูกค้ารายนั้น ๆ ต่อไปได้ในอนาคต)
ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นการวาง content ตามแต่ customer journey ว่าจะใช้ content ใดดึงดูด และใช้ content ใดเพื่อสร้างลิสต์ และใช้ content ใดเพื่อสานต่อความสัมพันธ์ โดยแต่ละ content อาจอยู่ในสื่อออนไลน์คนละสื่อกันก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น
ลูกค้าอาจเริ่มค้นหาเจอเว็บไซต์ B2B ของเราในกูเกิ้ล
จากนั้นลูกค้าเข้ามากด like เพื่อคอยติดตามในแฟนเพจ
สุดท้ายลูกค้าถูกโพสต์ในเพจดึงเข้ามาให้โหลดข้อมูลในเว็บไซต์ (ซึ่งก็ต้องฝากอีเมล์ไว้)
จากนั้นลูกค้าได้รับอีเมล์จากเราอยู่เรื่อย ๆ
ผ่านไปสักระยะ ลูกค้าสนใจในข้อมูลของเรา จึงตกลงซื้อสินค้าและบริการจากเรา
วางแผนแคมเปญโฆษณา / วางแผนการวัดผลและประเมินประสิทธิภาพ
ในส่วนนี้นั้นผมมองว่าเป็นส่วนขยายของทุกขั้นตอนที่กล่าวมาก่อนหน้า เพราะว่าในการทำ content marketing ของธุรกิจ B2B เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาพบเรา ฝากข้อมูลติดต่อให้เรา แล้วคอยเสพข้อมูลจากเรานั้น ถ้าทำกันอย่างต่อเนื่องก็จะได้รับ traffic แบบธรรมาชาติ ซึ่งจะได้ประโยชน์ในด้านความยั่งยืน รวมถึงความน่าเชื่อถือเป็นอย่างอย่าง
แต่ธุรกิจ B2B ที่ต้องการทำตลาดออนไลน์ให้ได้ผลลัพธ์อย่างรวดเร็วนั้น ก็ควรใช้การโฆษณาออนไลน์เข้ามาช่วยในเรื่อง content ด้วย อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าการจะทำโฆษณาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้น ธุรกิจ B2B ควรวางแผน content ให้ชัดเจนแต่แรก แล้วใช้โฆษณาเพื่อช่วยเร่งความไวของการทำตลาดเท่านั้น
จงอย่าหวังพึ่งโฆษณาอย่างเดียวโดยไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์และวางแผน content เสียก่อน
กรณีศึกษาของการใช้ Content เพื่อทำตลาดออนไลน์ให้กับธุรกิจ B2B
ขอยกตัวอย่างสั้น ๆ ของ DigiTide เอง โดยในช่วงแรก DigiTide เน้นเทคนิคการทำ SEO เพื่อให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายเข้ามาพบเจอเราเมื่อค้นหาคำว่า “ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์” โดย ณ วันที่ 21 ก.พ. 62 นี้ บทความ “จ้างที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์อย่างไร… ให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด” ของเราติดอันดับ 1, 2, 3 (สลับกันไปในแต่ละวัน) ในหน้าแรกการค้นหาคำ ๆ นี้ผ่านกูเกิ้ล

จากการที่เว็บไซต์ของเราติดอันดับการค้นหาด้วยคำค้นหาเด่น ๆ หลายคำ เช่น ที่ปรึกษาการตลาดออนไลน์ การทำ SEO และการทำตลาด B2B จึงทำให้เราสามารถเก็บรายชื่อลูกค้าที่กรอกอีเมล์แอดเดรสเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ของเรา (เราเคยทำทั้งแบบให้กรอกเฉย ๆ โดยไม่มีอะไรให้พิเศษ และแบบกรอกเพื่อดาว์โหลดอีบุ๊คของเรา)
โดย ณ ปัจจุบันเรามีรายชื่อผู้ที่กรอกอีเมล์แอดเดรสเอาไว้กว่าหลายร้อยราย
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าการทำตลาดออนไลน์แต่ละครั้งจะแค่สร้าง content อย่างง่าย ๆ ได้เสียเมื่อไหร่ เนื่องจากในปัจจุบันธุรกิจหลายแห่งหลายรายต่างเริ่มสร้าง content กันเองได้แล้ว จึงทำให้ content แบบเดียวกันจากธุรกิจหลาย ๆ แห่ง เริ่มถูกส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายเดียวกันแล้ว ลูกค้ากลุ่มนั้นจึงมีโอกาสที่จะเสพแต่เนื้อหาแต่ดันจดจำแบรนด์ไม่ได้ (เกิดขึ้นบ่อยกับแนวเนื้อหา how to ที่สอนแต่ขั้นตอน แต่ขาดการสร้างตัวตนที่ชัดเจน) หรือไม่ลูกค้ากลุ่มนั้นก็อาจเริ่มมีภูมิคุ้มกับ content เชิงโฆษณาประชาสัมพันธ์ (จึงทำให้โฆษณาไม่ได้ผล หรือไม่ก็เสียงบประมาณสูงขึ้นในการยิงโฆษณาแต่ละครั้ง)
ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงไม่ควรเฮไปทำ content ตาม ๆ คนอื่น โดยไม่ได้ดูความเหมาะสม หรือวิเคราะห์มาก่อนว่าตลาดนั้นเต็มแล้วหรือยัง
ไว้ครั้งหน้าทาง DigiTide จะมาเขียนถึงกรณีศึกษาอื่น ๆ เพิ่มเติมให้นะครับ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของประเทศไทยนั้น มีบริษัท B2C จำนวนไม่น้อยที่เข้ามาลงหลักปักฐานและช่วยผลักดันตลาดออนไลน์ แต่ยังขาดบริษัท B2B อยู่บ้าง แต่ในยุคปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ ทาง DigiTide ได้มีโอกาสเข้าไปพบเจอและพูดคุยกับบริษัท B2B อยู่หลายราย ซึ่งทุกรายต่าง มีแนวโน้มเดียวกันว่ากำลังจะลงมาทำตลาดในสื่อออนไลน์มากขึ้นเรื่อย ๆ และแน่นอนว่า ทุกรายต่างก็ตั้งเป้าที่จะใช้ Content ในการสร้างรายชื่อลูกค้า เก็บ lead และฟูมฟัก ให้กลายเป็น warm lead หรืออาจจะถึง hot lead ได้ในท้ายที่สุด
การทำ Content Marketing นั้น ธุรกิจ B2B พึงสร้าง content หลากหลายประเภท เพื่อปล่อยไปยังช่องทางที่แตกต่างกันไป ในช่วงเวลาที่ต่าง ๆ กันไปเช่นกัน โดยมีเป้าหมายในการเก็บและฟูมฟัก Lead เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับการขายในขั้นตอนสุดท้าย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพึ่งพาการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งและชัดเจนในรายละเอียด เพื่อวางแผนโครงสร้างและแนวทางการจัดวาง content ให้เหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ จึงจะสามารถสร้างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์จริงขึ้นมา
ประกาศสำหรับผู้สนใจ
- ทาง DigiTide กำลังวางแผนที่จะเปิดคอร์ส Content Marketing สำหรับธุรกิจ B2B ในอนาคต
- เจ้าของธุรกิจที่อยากให้ DigiTide ช่วยทำ Content Marketing ให้ เราเปิดรับข้อเสนอการร่วมงานในฐานะพาร์ทเนอร์นะครับ
- ติดต่อเราได้ที่ Line@: @DigiTide นะครับ
ทีมงาน DigiTIde

