เมื่อไหร่ ควรใช้ Ads Automation สำหรับ คนทำออนไลน์?

เมื่อไหร่ ควรใช้ Ads Automation

ปีนี้น่าจะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงในการทำโฆษณา จาก ที่ต้องมีทีมงานคุม Dashboard การยิงแอด Facebook , Google , Tiktok สู่การทำแอดโดยให้ AI ช่วยจัดการ แล้วเอาเวลาไปพัฒนาธุรกิจต่อไป ซึ่งข้อดีในการใช้ AI เข้ามาช่วยดูแลโฆษณามีเยอะแยะมากมาย แต่ตอนนี้คุณจำเป็นต้องใช้ Ads Automation เข้ามาช่วยดูแลแอดจริงๆ รึป่าว? วันนี้ DigiTide มาชวนคุยว่า ธุรกิจตอนนี้ พร้อมที่จะใช้ AI มาดูแลแทนแล้วหรือยัง

Ads Automation คืออะไร?

ระบบการทำโฆษณาแบบอัตโนมัติ โดยใช้กฏเข้ามาคุมเรื่องงบประมาณและผลลัพธ์ที่ต้องการ โดยทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง และ ระบบจะตรวจสอบได้ทุก 15 นาที จริงๆ แล้ว การตั้งกฏเพื่อให้ระบบทำงานเอง Platform ยิงแอดส่วนใหญ่จะมีให้ใช้อยู่แล้ว เป็นการตั้งกฏเพื่อใช้งาน หากไม่เป็นไปตามที่กำหนดก็ปิดหรือเปิดใหม่เอง ตอนนี้ก็มีระบบที่มาเชื่อมกับเครื่องมือยิงแอดต่างๆ โดยใช้ AI เข้ามามีส่วนมีส่วนให้่ระบบทำงานได้ดีขึ้น ไม่ใช้เพียงตั้งกฏเท่านั้น แต่ยังคำนวณข้อมูลต่างๆ ในการตั้งงบประมาณ หรือ การโคลนแอด หรือแม้แต่การนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อหากลุ่มลูกค้าให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วย

เครื่องมือที่น่าสนใจที่มีให้ใช้ในปัจจุบัน

  • MadgicX คือ ระบบที่ใช้ในการจัดการโฆษณามีจุดเด่นเรื่องของการทำ Facebook Ads ที่ใช้ AI เข้ามามีส่วนช่วยในการหาลูกค้าได้ดี มีส่วนของการทำ GDN ในของ Google Ads ด้วย
  • Revealbot คือ ระบบจัดการโฆษณาที่สามารถใช้ได้ทั้ง Facebook Ads , Tiktok Ads , Google Ads ถือว่าสะดวกในการ ดึงทุกอย่างมาไว้ในที่เดียว บริหารจัดการง่าย

อะไรดีกว่ากัน สามารถหาอ่านได้จากบทความนี้ >>> MadgicX vs Revealbot 2022

Checklist ธุรกิจพร้อมใช้งาน Ads Automation

1.ธุรกิจมีกำไรแล้วระดับหนึ่ง

ธุรกิจหากไม่มีกำไร ก็ไม่สามารถทำอะไรต่อได้ การใช้ Ads Automation เป็นการลดเวลาเฝ้าจอ แต่ก็ต้องแลกมากกับความทำความเข้าใจในช่วงแรกระหว่างทดสอบระบบเพื่อหาจุดคุ้มทุน หากไม่มีกำไร ในการเริ่มใช้งาน ก็จะมีแต่เสียเงินเสียเวลาเปล่า ข้อแรกต้องมีกำไรระดับนึงแล้ว และ นำกำไรมาลดเวลาการเฝ้าแอด และ เพิ่มกำไร ในอนาคต

2.มีงบประมาณสำหรับทดสอบ

เมื่อมีกำไร จึงมีงบประมาณไว้ทดสอบ แน่นอนไม่ใช่หลักร้อยแน่ๆ ซึ่งจะทดสอบได้ มันต้องมีข้อมูลเก่าว่าปกติแล้ว มีค่า Conversion เท่าไหร่ , ใช้งบต่อวันเท่าไหร่ , กำไรเหลือวันเท่าไหร่ เพื่อที่จะสามารถเอามาทดสอบผ่านเครื่องมือที่เลือกมาใช้ได้ เช่น ค่า Conv ละ 100 บาท , ใช้งบวันละ 3000 บาท , กำไรต่อวัน 10,000 บาท อาจจะลองแบ่งงบสัก 10% จากกำไรมาใช้ Ads Automation เพิ่มก็ได้

3.มีทีมงานที่สามารถทำคอนเทนต์ได้

คอนเทนต์แทบจะเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ในการทำธุรกิจออนไลน์อยู่แล้ว หากมีทีมก็จะยิ่งดีมาก พวก Platform ยิงแอดอย่าง Madgicx จะมีเครื่องมือสำหรับดู Content ที่เคยทำอยู่แล้วว่า รูปไหน, vdo ไหน, คำพูดแบบไหน ส่งผลต่อ Engagement ลูกค้าอย่างไรบ้าง ก็สามารถทำให้ทีมคอนเทนต์ผลิตเนื้อหามาให้ลูกค้าโดนใจมากขึ้น ส่งผลต่อยอดขายมากขึ้นนั้นเอง

Creative Insight Madgicx

4.มีเวลาพอในช่วงแรกเพื่อทดสอบ

การเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ต้องใช้เวลาเสมอ แต่หากแอดเริ่มลงตัวแล้ว ก็สามารถปล่อยให้แอดทำงานได้เลย ช่วงแรกถือเป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากต้องศึกษา Function การใช้งานต่างๆ ของเครื่องมือแล้ว ใช้เวลาทดสอบเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการอีก ดังนั้น แบ่งเวลาเวลาไว้ทดสอบเพื่อที่จะได้เข้าใจ ว่าต้องปรับต้องแก้ตรงไหน เมื่อไหร่ที่ลงตัว หรือ เริ่มรู้แล้วว่าต้องทำยังไงบ้าง ก็ปล่อยให้ทีมงานเข้ามาพูดหรือสเกลธุรกิจเพิ่มก็ได้

5.มีจุดประสงค์ชัดเจนว่าทำไปเพื่ออะไร

คุณเป็นคนขายของออนไลน์ หรือ เป็นแบรนด์ คุณต้องมีจุดประสงค์ในการใช้งานเครื่องมือชัดเจน รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร แน่นอนรู้ว่าทุกคนต้องการยอดขายที่มากขึ้น แต่มันมีขั้นตอนของมัน เช่น คนขายของอยากหาของมาขายเพิ่มก็อาจจะดูข้อมูลคอนเทนต์เก่าๆ แล้วหาสินค้าที่สอดคล้องกันมาทำโฆษณา ก็มีโอกาสที่จะได้ยอดขายมากกว่าเดิม หรือ ใครทำแบรนด์หามีข้อมูลมากพอเช่น ยอดส่วนใหญ่เกิดจากภาพหรือวีดีโอรีวิว ก็ควรเอาเวลาไปทุ่มเท่ในการทำรีวิวที่ดีกว่าเดิม ก็จะเป็นการเพิ่มยอดขายดีขึ้นนั้นเอง

ไม่ใช่ทุกธุรกิจที่ต้องใช้เครื่องมือการทำแอดแบบอัตโนมัติ หากธุรกิจต้องโฟกัสเรื่องหาเงินจงหาเงินก่อน แต่หากธุรกิจพอมีกำไรแล้วอยากหาเครื่องทุนแรงเครื่องอัตโนมัติต่างๆ ถือเป็นตัวช่วยที่ดีในการดำเนินธุรกิจ หากคุณมีครบทั้ง 5 ข้อที่ว่ามาสามารถลองใช้เครื่องมือ Automation ได้เลย

สุดท้าย ปัญหาธุรกิจออนไลน์ที่หลายๆ คนเจอ อาจไม่ใช่เรื่องการยิงแอดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น บางทีกลยุทธ์การทำธุรกิจอาจจะสำคัญกว่า มาทุ่มเวลากับการยิงแอดก็ได้ ดังนั้น ใช้เวลาค่อยๆ คิดว่า ตอนนี้ปัญหาที่มีคืออะไร มีทางแก้ไหม หรือ มีอะไรที่พอจะทำให้ธุรกิจเดินต่อไปได้บ้าง หรือ หากมียอดแล้ว พอมีกำไรแล้ว ไม่รู้จะต่อยอดอย่างไร ลองมาคุยกันได้ที่เพจ DigiTide ก็ได้นะครับ 🙂

ปล.ไว้เดี๋ยวจะมาเล่าขยายต่อเรื่อง Marketing Automation จะได้ไปให้ครบทุกส่วนในการหาเครื่องไม้เครื่องมือมาทำ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ้างคน และ ประหยัดเวลาที่จะต้องทำอะไรซ้ำๆ อย่าลืมกดติดตามกันไว้นะครับ

 


สำหรับ DigiTide นั้น จะมีคอร์สและบริการที่เกี่ยวข้องกับแต่ละประเด็นดังต่อไปนี้

คอร์ส

  • คอร์สก้าวแรก ที่ผมจะสอนการวิเคราะห์ การวางโครงสร้างสื่อออนไลน์ และการวาง content เบื้องต้น (หัวข้อ 3 และ 4)
  • คอร์ส Personal Branding ที่คุยเรื่องการสร้างแบรนด์ และ content ที่แตกต่างและเป็นที่จดจำ (การวิเคราะห์แบรนด์ + โครงสร้างแบรนด์ + หัวข้อ 4 5 และ 6)
  • คอร์ส Google Marketing (หัวข้อ 3-8 แต่คุยเฉพาะในมุมของ Google ซึ่งได้แก่ SEO และ Google Ads)
  • เวิร์กช็อป Expert Marketing (หัวข้อ 1-11 แต่หลายประเด็นต้องทำเวิร์กช็อป เช่น การวิเคราะห์ในหัวข้อ 2-4 และการวัดผลในหัวข้อ 8)

บริการ

  • บริการ Google Ads
  • บริการ Expert Branding & Marketing (จัดการให้ตั้งแต่ข้อ 1-11 โดยในส่วนของการสร้าง content นั้นจะต้องเป็นการสร้างร่วมกันระหว่าง DigiTide กับเจ้าของแบรนด์ เพราะว่าเจ้าของแบรนด์ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุดในประเด็นที่คุย ดังนั้นเราจะเป็นผู้ช่วยดึง Content ออกมาและเรียบเรียงให้)